เทรนด์รถเช่า ในมุม ASAP
เช่ารถรายชั่วโมง” ตลาดนี้น่าสนใจ!!
คุณทรงวิทย์ เล่าว่า อีกเทรนด์ที่จะเริ่มเห็นมากขึ้น คือ “เช่ารถยนต์รายชั่วโมง” ที่ผ่านมามีลูกค้าหลายคนถามถึงบริการนี้ เราจึงตอบสนองคนกลุ่มนี้ ด้วยการทำแอพพลิเคชั่นบนมือถือสมาร์ทโฟน asap GO ภายใต้คอนเซ็ป Pay per use (ใช้เท่าไรจ่ายเท่านั้น) ซึ่งผู้ใช้งานสามารถทำการเช่าและปลดล็อครถยนต์ผ่านแอพเลิเคชั่นได้ด้วยตัวเอง
เมื่อหลายปีก่อน เรามีความเชื่อว่า การเช่ารถยนต์ระยะสั้นจะได้รับความนิยมมากขึ้นเลยตัดสินใจเข้าสู่ “บริการรถเช่าระยะสั้นในสนามบินนานชาติทั่วประเทศไทย” ด้วยการตั้งจุดบริการในสนามบินนานาชาติทั่วประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นสนามบินเชียงราย เชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา แต่ด้วยต้นทุนค่าเช่าตั้งจุดบริการที่ค่อนข้างแพง เราจำเป็นต้องปรับแผนเติบโตใหม่!!!
ด้วยการนำที่ดินย่านบางนา-ตราด พื้นที่ 4 ไร่ ที่ซื้อมานานกว่า 3 ปี มาพัฒนาเป็น “ศูนย์รวมการให้บริการรถยนต์แบบครบวงจร asap Auto Park” มูลค่าเงินลงทุน 150-160 ล้านบาท ซึ่งจุดบริการนอกสนามบินแห่งนี้จะทำหน้าที่ทั้งปล่อยเช่ารถยนต์ระยะสั้นและจำหน่ายรถยนต์มือสองที่ครบสัญญาเช่า
จากการรุกธุรกิจระยะสั้นในช่วงกว่าสองปีที่ผ่านมา ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้วว่า เราเดินมาถูกทาง!!! แม้วันนี้เราจะยังติดลบจากการให้บริการรถยนต์ระยะสั้น แต่กลุ่ม B2C ถือเป็นตลาดที่ทำแล้วสนุกและเหนื่อยไปพร้อมๆกัน ที่ผ่านมา เราได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากลูกค้าทั่วไป หลายคนรู้จักแบรนด์เรามากขึ้น
แต่เรายังคงต้องสร้างตลาดใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เรื่องที่ประสบความสำเร็จแล้วระดับหนึ่ง คือ การจองรถยนต์ผ่านตลาดท่องเที่ยวออนไลน์ (online travel agent) หรือ OTA ที่ผ่านมามียอดเช่ารถยนต์ระยะสั้นจาก OTA คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 70% (มีทั้งลูกค้าไทยและต่างชาติ ลูกค้าต่างประเทศอันดับหนึ่ง คือ จีน รองลงมาเป็นมาเลเซีย)
วันนี้บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากบริการรถเช่าระยะสั้นเฉลี่ย 5% ตามแผนงานภายใน 5 ปีข้างหน้า (2560-2564) ต้องขยับเป็น 20% เราเชื่อมั่นว่า “ทำได้แน่นอน” เพราะเป้าหมายที่ต้องการจะมีพอร์ตรถยนต์ให้เช่า 20,000 คัน ภายในปี 2564 คาดว่าจะได้เห็นเร็วขึ้นเป็นภายในปี 2562 ปัจจุบันมีพอร์ตรถยนต์อยู่ในมือประมาณ 18,000 คัน (พอร์ตรถยนต์ให้เช่าของ ASAP มีมากกว่าเบอร์ 1 ของอุตสาหกรรม)
ปัจจุบันเมืองไทยมีผู้ประกอบการให้เช่ารถยนต์ 4 ราย คือ กลุ่มบริษัทอาคเนย์ ,บมจ.ภัทรลิสซิ่ง ,บริษัท ไทยโอริกซ์ลีสซิ่ง จำกัด (ของประเทศญี่ปุ่น) และบริษัท ทรู ลีสซิ่ง จำกัด ส่วน asap ก็เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีประสบการณ์มายาวนาน เพราะครอบครัวฐิติปุญญา ทำธุรกิจกับโตโยต้ามานาน 50 ปี ส่วนตัวเองทำดีลเลอร์ให้โตโยต้ามา 16 ปี โดยปล่อยเช่ารถยนต์โตโยต้าสัดส่วน 90% เพราะหาซัพพลายง่าย และมีต้นทุนที่แข่งขันได้
เพราะนอกจาก asap จะมีรถยนต์ปล่อยเช่าระยะสั้นมากขึ้น จากเดิมที่มีรถยนต์ระยะสั้นปล่อยเช่าประมาณ 700 คันแล้วระบบแฟรนไชส์ยังช่วยทำให้การจำหน่ายรถยนต์มือสองคล่องตัวมากขึ้น เพราะแต่ละปีจะมีรถยนต์กลับมาให้ขายเฉลี่ย 1 พันคัน รถยนต์ของเรามีอายุการใช้งานเฉลี่ย 4-5 ปี แต่ในอนาคตจะมีรถยนต์กลับมาให้ขายมากกว่า 5 พันคัน เพราะปีก่อนซื้อรถยนต์เข้าพอร์ต 6 พันคัน และในปี 2562 จะซื้อรถยนต์อีกไม่เกิน 4 พันคัน ราคาคันละ 8 แสนบาท มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท
ตามแผนในช่วง 3 ปีข้างหน้า (2562-2564) จะต้องมีผู้ซื้อแฟรนไชส์ “asap Select” ประมาณ 30 ราย เป้าหมายนี้ขยับมาเร็วขึ้น จากเดิมที่ตั้งเป้าหมายไว้ภายใน 5 ปี เนื่องจากรถยนต์ให้เช่าระยะสั้นในช่วงปี 2562-2563 จะเติบโตได้ดี ตามจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ขยายตัวมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่คนไทยเดินทางไปท่องเที่ยว ด้วยสายการบินชั้นประหยัดมากขึ้น
ผ่านมา 4 เดือน เรามีผู้ซื้อแฟรนไชส์ชุดแรกแล้ว 5 ราย กระจายตัวอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ขอไฮสปีดเทรน ไล่มาตั้งแต่กรุงเทพ นนทบุรี นครราชสีมา อุบลราชธานี และเชียงใหม่ ซึ่งโมเดลนี้จะช่วยลดต้นทุนการเช่าพื้นที่ในสนามบินที่แพงมาก (ผลตอบแทนจากการลงทุน หรือ IRR การทำระบบแฟรนไชส์อยู่ระดับ 20%)
เราเป็นคนแรกและคนเดียวในเมืองไทยที่ทำระบบแฟรนไชส์รถเช่าระยะสั้นและจำหน่ายรถยนต์มือสอง โดยผู้ซื้อแฟรนไชส์ไม่ต้องลงทุนซื้อรถยนต์แม้แต่บาทเดียว แต่เราจะนำรถยนต์ไปวางขายให้เลย ได้เงินมาเท่าไร ก็เอามาแบ่งเงินกัน 40:60 ซึ่งเป้าหมายการขายและเช่าของเราไม่โหดทุกคนอยู่ได้
“โมเดลแฟรนไชส์นอกจากจะทำให้ลูกค้ารู้จักเรามากขึ้นแล้วนักลงทุนก็จะรู้ด้วยว่า ดีเอ็นเอของเราไม่ใช่บริษัทรถเช่า แต่เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเซอร์ริสรถยนต์ครบวงจรที่เติบโตเฉลี่ยปีละ 30%” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยืนยัน
นักวิเคราะห์หลักทรัพย์บัวหลวง ประเมินว่า แนวโน้มกำไรใน 3 ไตรมาสที่เหลือของปี 2562 คาดว่าจะเห็นพัฒนาการกำไรที่ดีขึ้นจากไตรมาสแรกที่ผ่านมาที่กำไรโดนกดดันจากค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยและค่าเสื่อมราคาที่บริษัทขยาย Fleet รถเพิ่มขึ้นถึง 6,000 คัน ในปี 2561 ทำให้เกิด Revenue cost mismatching เพราะการปล่อยรถเช่านั้นเป็นธุรกิจที่จะมีกำไรที่ดีในช่วงครึ่งหลังของอายุรถ (Back-load profit project)
โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าขยาย fleet รถเพียงแค่ 3,000 คัน เพราะปัจจุบันบริษัทมีรถใน fleet ถึง 17,000 คัน ซึ่งบริษัทเข้าถึงจุดที่ได้ economy of scale แล้ว ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายประกันภัย ซึ่งเป็นค่าใช่จ่ายจำนวนมาก ปัจจุบันบริษัทได้ผู้บริหารท่านใหม่ ซึ่งเข้ามาดูแลเรื่องงานประกันภัยโดยเฉพาะ คาดจะลดต้นทุนค่าประกันภัยได้ประมาณ 10-15% (30-40 ล้านบาท) คาดเห็นผลในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562
“กลยุทธ์การลงทุน เราแนะนำ “รอสะสม” เมื่อเห็นแนวโน้มงบการเงินไตรมาส 2 ปี 2562 ผ่านจุดต่ำสุด (รอดู Earnings preview ช่วงกลางเดือนกค.อีกครั้ง) เรามองว่า Downside เริ่มจำกัดแล้ว ด้วยราคาปัจจุบันลงมาเท่า Book value”
อ้างอิงเนื้อหา และรูปภาพจาก
https://knowledge.bualuang.co.th/knowledge-base/maojummaiasap/